วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พรปีใหม่ 2553 โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

พรปีใหม่ 2553 โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี



พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของสังคมไทย

สังคมไทยป่วยด้วยโรค ′การเมืองวิกฤต เศรษฐกิจวิกล คนวิวาท ชาติวิโยค′ มาหลายปี การจะหายจากโรคนี้ได้ คนไทยต้องร่วมกันสร้าง ′พลัง′ แห่งธรรมะ 4 ประการขึ้นมาในใจของแต่ละคน ธรรมะที่จะทำให้สังคมไทยมีพลังทั้ง 4 ประการคือ



1) พลังปัญญา = ลดการใช้ความรู้สึกลง เพิ่มการใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2) พลังความเพียร = ลดการพึ่งไสยศาสตร์ลง พึ่งตนเองให้มากขึ้น
3) พลังความสุจริต = ลดการทุจริตลง เพิ่มความซื่อสัตย์โปร่งใสให้มากขึ้น
4) พลังความสามัคคี = ลดการขัดแย้งลง เพิ่มความสามัคคีให้มากขึ้น



ขอความสวัสดีจงมีแก่สรรพชีพ สรรพสัตว์ ในที่ทุกสถานในการทุกเมื่อเทอญ



พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
สถาบันการศึกษา วิจัย ภาวนา เพื่อสันติภาพโลก

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552



"ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิต พรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง ซึ่งปราถนาดีมุ่งหมายให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความสวัสดีด้วยประการต่างๆ ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงไปได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้ผิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น

จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน หมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วทำตั้งจิต ตั้งใจ ให้เที่ยงตรงหนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง อันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญ มั่นคง ยั่งยืนไป

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลให้สัมฤทธิผลขึ้นแก่ท่าน ทั่วหน้ากัน"

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
5 ธันวาคม 2552
ในพระราชพิธีออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒







ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย รวมทั้งพระะบรมเดชานุภาพขององค์สมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ เทวานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลพิภพ โปรดอภิบาลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงมีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ปราศจากพระโรคาพาธทั้งปวง ทรงเจริญพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน สถิตย์เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยสืบต่อไปชั่วกาลนานเทอญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ความรู้

พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ "ความรู้"

“...ความรู้นั้นสำคัญยิ่งใหญ่ เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดความฉลาดสามารถ และความเจริญก้าวหน้า มนุษย์จึงใฝ่ศึกษากันอย่างไม่รู้จบสิ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว การเรียนความรู้ แม้มากมายเพียงใด บางทีก็ไม่ช่วยให้ฉลาดหรือเจริญได้เท่าไรนัก ถ้าหากเรียนไม่ถูกถ้วน ไม่รู้จริงแท้ การศึกษาหาความรู้จึงสำคัญตรงที่ว่า ต้องศึกษาเพื่อให้เกิด “ความฉลาดรู้” คือรู้แล้ว สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ โดยไม่เป็นพิษเป็นโทษ การศึกษาเพื่อความฉลาดรู้ มีข้อปฏิบัติที่น่าจะยึดถือเป็นหลักอย่างน้อยสองประการ ประการแรก เมื่อจะศึกษาสิ่งใดเรื่องใดให้รู้จริง ควรจะได้ศึกษาให้ตลอดครบถ้วนทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เรียนรู้แต่เพียงบางส่วนบางตอน หรือเพ่งเล็งเฉพาะแต่เพียงบางแง่บางมุม อีกประการหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติประกอบพร้อมกันไปด้วยเสมอคือต้องพิจารณาศึกษาเรื่องนั้นๆ ด้วยความคิดจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นปรกติ และเที่ยงตรง เป็นกลาง ไม่ยอมให้ความรู้เห็นและเข้าใจตามอำนาจความเหนี่ยวนำของอคติ ไม่ว่าจะเป็นอคติฝ่ายชอบหรือฝ่ายชัง มิฉะนั้นความรู้ที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นความรู้แท้ หากแต่เป็นความรู้ที่ถูกอำพรางไว้ หรือที่คลาดเคลื่อนวิปริตไปต่างๆ จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ โดยปราศจากโทษไม่ได้...”

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรโรฒ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๔